เที่ยวเรื่อยเปื่อย 1 วัน 'สมุทรสงคราม' ในมุมเมือง Slow-Life
- supatsorn93
- Aug 3, 2023
- 1 min read

ฉันกับรถจักรยานยนต์คันสีฟ้าบนเส้นทางที่คุ้นเคย เส้นทางที่ไม่ใช่ถนนใหญ่รถพลุกพล่านและพระอาทิตย์อยู่เบื้องหน้าทุกขณะ แต่เป็นเส้นทางร่มรื่นค่อนข้างแคบและคดเคี้ยว ขับไปช้าๆ ตามบรรยากาศที่ไม่ก่อให้เกิดความเร่งรีบใดๆ ผ่านต้นไม้ ใบหญ้า ดอกไม้ บ้านเรือนและลำน้ำ มองผ่านกระจกข้างเห็นรถสองคันเล็กๆ ตามหลังมาจนเคลื่อนผ่านไป เป็นรถสายวัดปราโมทย์-แม่กลองนั่นเอง ขับมาจากตลาดแม่กลองซึ่งเป็นใจกลางเมืองจังหวัดสมุทรสงคราม เพียงสิบกว่านาทีก็เข้ามาอยู่เขตอำเภออัมพวาแล้ว...
นั่นเพราะสมุทรสงครามเป็นเพียงจังหวัดเล็กๆ ยืนยันด้วยตำแหน่งจังหวัดที่เล็กที่สุดในประเทศไทย มีพื้นที่เพียง 416.7 ตร.กม. แต่ความเป็นสมุทรสงครามไม่ได้เล็กเลย กลับเต็มไปด้วยความงดงามแห่งวิถีชีวิตอันสงบและเรียบง่าย ชีวิตที่นี่เป็นวิถีแห่งท้องน้ำ ด้วยภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มริมทะเล แม่น้ำแม่กลองไหลผ่านไปสู่อ่าวไทย มีลำคลองน้อยใหญ่แยกจากแม่น้ำแม่กลองถึง 388 คลอง

ระหว่างทางผ่านสะพานข้ามแม่น้ำทั้งเล็กและใหญ่จำนวนมาก บ้านเรือนตั้งเรียงรายทั้งสองฝั่งน้ำ บ่งบอกความรุ่งเรืองแห่งผืนน้ำในอดีต แต่ใช่ว่าความก้าวหน้าทางการคมนาคมบนท้องถนนจะทำให้วิถีชีวิตบนท้องน้ำแบบเดิมเลือนหาย ชาวบ้านที่นี่บางส่วนยังคงพายเรือกันอยู่แม้จะไม่มากเท่าแต่ก่อน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากนโยบายและการสนับสนุนของทางจังหวัดที่ต้องการพัฒนาให้ที่นี่เป็นศูนย์กลางการพักผ่อนและการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่สอดคล้องกับวิถีวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม
เรือและลำน้ำเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงชีพผู้คนที่นี่มาเนิ่นนาน การค้าขายทางเรือที่นิยมครั้งยังสัญจรทางน้ำถูกอนุรักษ์ไว้ เป็นอัตลักษณ์ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาสัมผัสบรรยากาศที่มีกลิ่นอายของวิถีชีวิตในอดีต เกิดเป็นตลาดน้ำหลากหลายแห่ง ได้แก่ ตลาดน้ำอัมพวา ตลาดน้ำบางน้อย ตลาดน้ำบางนกแขวก และตลาดน้ำท่าคา ต่างเป็นตลาดริมคลองที่มีของขายทั้งในน้ำและบนบก มีอาหารอร่อยชวนให้ลิ้มลองมากมาย ทั้งอาหารทะเลสดๆ ขนมไทยสูตรโบราณหากินยาก และผลไม้ขึ้นชื่อ (ลิ้นจี่ ส้มโอ มะพร้าว มะม่วง) รสหวานฉ่ำเด็ดสดๆ จากสวน
ตลาดน้ำของจังหวัดสมุทรสงครามค่อนข้างโด่งดังและเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี แต่ยังมีอีกหลายสถานที่ที่คุณค่าและความงดงามยังไม่ถูกค้นพบ…

ชุมชนในจังหวัดสมุทรสงครามส่วนใหญ่เป็นชุมชนชาวพุทธ ระหว่างทางผ่านหลายต่อหลายวัดมาจนถึงวัดบางกุ้ง วัดสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ วัดบางกุ้งเคยเป็นที่ตั้งค่ายในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายและสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินเพื่อป้องกันกองทัพพม่า
ความแปลกที่กลายเป็นจุดเด่นของวัดแห่งนี้คือ “โบสถ์ปรกโพธิ์” สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ถึงตอนนี้ตัวโบสถ์เก่าแก่หลังนี้ได้ถูกปกคลุมด้วยต้นไทรใหญ่คล้ำจุนและยึดเอาไว้อย่างมั่นคง มองเห็นเป็นภาพอันน่าเหลือเชื่อของโบสถ์ที่อยู่ภายในต้นไทรใหญ่ สภาพอุโบสถเก่าแก่ให้ความรู้สึกขลัง มีภาพจิตรกรรมฝาผนังสีจางซีดบ่งบอกกาลเวลา และพระพุทธรูปประดิษฐานหลวงพ่อนิลมณีที่ผู้คนมักแวะเวียนมากราบไหว้ไม่ขาดสาย

บนถนนเส้นเดียวกันถัดไปไม่ไกลนั้นเองเป็นที่ตั้งของวัดบางแคน้อย ซึ่งมีอายุกว่า 140 ปี ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง อุโบสถหลังใหม่ของวัดนี้ประกอบขึ้นด้วยไม้ถึง 5 ชนิด ได้แก่ ไม้สักทอง ไม้ตะเคียนทอง ไม้โมกมัน ไม้ประดู่ และไม้มะค่า ทั้งหลังเป็นงานแกะสลักไม้อันประณีตงดงามวิจิตรตระการตาโดยช่างผู้มีฝีมือ ใช้เวลากว่า 6 ปีในการสรรค์สร้าง ด้านบนจรดฝาผนังสี่ด้านเป็นภาพแกะสลักบอกเล่าเรื่องราวทั้ง 10 ชาติของพระพุทธเจ้า การประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ส่วนฝาผนังถัดลงมาจากธรณีหน้าต่างแกะสลักไม้โมกมันฝังรูปพระเวสสันดร ทั้งหมดนี้แกะสลักอย่างสามมิติซึ่งเป็นรูปแบบงานล้ำค่าที่หาดูได้ยากมาก
ออกจากวัดบางแคน้อย พาไปดูชุมชนชาวคริสต์กันบ้าง ณ อาสนวิหารแม่พระบังเกิด เป็นศูนย์กลางการสักการะอันศักดิ์สิทธิ์ของคริสตชนนิกายคาทอลิกที่อาศัยอยู่โดยรอบ สร้างขึ้นโดยบาทหลวงเปาโลซัลมอนมิชชันนารีชาวฝรั่งเศส โบสถ์หลังนี้เป็นหลังที่สาม หลังจากการรื้อเพื่อขยับขยายพื้นที่ทำพิธีกรรมให้เพียงพอสำหรับจำนวนคริสต์ศาสนิกชนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการหลั่งไหลของชาวคริสต์จากหลากหลายแห่งที่ได้รับอนุญาตจากหลวงพ่อให้เข้ามาถางป่าและจับจองที่อยู่อาศัยได้ในสมัยนั้น จนกลายเป็นชุมชนคริสต์ขนาดใหญ่ในปัจจุบัน

อาสนวิหารแม่พระบังเกิดประกอบขึ้นอย่างงดงามตามศิลปะโกธิคที่มีลักษณะเด่นคือยอดแหลมพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ตั้งตระหง่านท่ามกลางแผ่นฟ้าสีสดใส ตัวโบสถ์ที่ทำด้วยอิฐเผามีสีขาวสะอาดตาตัดกับพื้นหลังสีฟ้าครามเป็นภาพอันตราตรึงใจผู้พบเห็น ที่นี่มีคุณลุงวิทยากรอัธยาศัยดีคอยให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาและชี้ชวนให้นักท่องเที่ยวดูสถาปัตยกรรมและประติมากรรมอันสวยงาม
“มานี่ประเดี๋ยว จะพาไปดูอะไร” ฉันเดินตามไปและมองไปยังด้านข้างของตึกที่แกชี้ ดวงตาของคุณลุงเป็นประกายแห่งความสุขยามบอกเล่าเรื่องราวอย่างกระตือรือร้น
“ด้านข้างโบสถ์นี้น่ะทำไมถึงเป็นลายเทาๆ ไม่เหมือนด้านหน้ารู้ไหม...
เขาใช้อิฐเผาที่ฉาบด้วยปูนตำกับน้ำอ้อยใส่สีดำมาผสมรวมกัน สีที่ออกมาถึงสวยแบบนี้ล่ะ”

จากด้านนอกเข้าไปดูด้านใน แวบแรกหากใครไม่เคยเห็นหรือสัมผัสศิลปะแนวโกธิคคงเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจมากทีเดียว สิ่งสะดุดตาแรกเห็นคือกระจกสีสันสวยสดที่เป็นรูปภาพบอกเล่าเรื่องของพระนางมารีจากพระคัมภีร์และภาพบรรดานักบุญชายหญิง กระจกนี้คือกระจกสี Stain Grass จากฝรั่งเศสที่อาศัยแสงกระทบจากภายนอกเกิดเป็นสีสดงดงาม
คุณลุงเล่าว่ากระจกนี้มีกรรมวิธีการทำละเอียดและประณีตมาก ต้องตัดกระจกแต่ละสีทีละชิ้นๆ ผ่านกระบวนการหลอมด้วยไฟแล้วใช้ตัวเชื่อมกระจกเข้าด้วยกันจนงดงาม ตัวเชื่อมนี้ทำให้ปรากฏเป็นเส้นสีดำขับเน้นความสวยงามที่หลายคนอาจนึกไปว่าเป็นการตัดขอบ
ตัวโบสถ์ภายในกว้างขวาง โอ่อ่า และตกแต่งอย่างยิ่งใหญ่ด้วยรูปแกะสลักและรูปปูนปั้นของเหล่าเทพยดาในพระคัมภีร์ไบเบิล เก้าอี้นั่งถูกวางไว้เต็มแนวกว้างและแนวยาวของโบสถ์ คุณลุงวิทยากรบอกว่าเดี๋ยวนี้คนน้อยลงมากเพราะไปทำงานที่อื่นกัน จะกลับมาอยู่บ้านก็ต่อเมื่อถึงวัยเกษียณอายุ ทำให้เห็นแต่คนมีอายุที่มาทำพิธีกรรมทางศาสนา คำบอกเล่านี้สะท้อนภาพวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัยได้มากทีเดียว ตำแหน่งงานและผลตอบแทนที่มากกว่าในเมืองใหญ่บังคับให้ผู้คนต้องดิ้นรนไขว่คว้าเพื่อชีวิตที่ดี กลายเป็นนักท่องเที่ยวเสียมากกว่าที่เดินทางมาเยี่ยมชมในแต่ละวัน

ช่วงเวลาแห่งความเพลิดเพลินล่วงจนบ่ายแก่ๆ ฉันเลือกขับรถต่อไปยังตลาดแม่กลอง แล้วต่อรถเมล์ไปรับลมเย็นๆ ที่ดอนหอยหลอดสักหน่อย...
ดอนหอยหลอดเกิดจากการตกตะกอนของดินทรายหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ทรายขี้เป็ด” ตะกอนจากแม่น้ำและบริเวณปากทะเลทับถมเกิดเป็นสันดอนยื่นออกไปในทะเลราว 8 กิโลเมตร พื้นตะกอนนุ่มและอุดมไปด้วยแร่ธาตุ พื้นโคลนเลนในบริเวณดอนหอยหลอดเป็นแหล่งอาศัยของหอยหลอด ไม่ต้องเดาเลยว่าชื่อดอนหอยหลอดนั้นมีที่มาจากไหน

ที่แห่งนี้ไม่เคยว่างเว้นจากบรรดาผู้หลงใหลธรรมชาติและสายลมเอื่อยๆ เย็นสบายที่พัดเข้ามาจากทะเลอ่าวไทย บ้างปูเสื่อปิกนิก บ้างนั่งเล่น มีบริการล่องเรือหางยาวไหว้ชมวัดต่างๆ ริมแม่น้ำแม่กลอง อิ่มท้องกับอาหารทะเลที่เพิ่งขึ้นจากทะเลสดๆ วางเรียงรายให้เลือกซื้อมากมาย หรือหากใครอยากจะลองหยอดหอยหลอดก็สามารถติดต่อชาวบ้านแถวนี้ได้เลย แต่ต้องเป็นช่วงน้ำลงเท่านั้น ชาวบ้านที่นี่เขาใจดีและพร้อมต้อนรับผู้มาเยี่ยมเยียนเสมอ
ทุกภาพที่ได้พบเห็นและสัมผัสในวันนี้ แม้จะเป็นภาพชินตาแต่ก่อให้เกิดความรู้สึกสงบทั้งอบอุ่นในใจอย่างประหลาด ยิ่งทำให้มั่นใจว่าแม้แต่ผู้ที่ไม่ได้มีความคุ้นเคยกับที่นี่ หากมีโอกาสแวะมาเยี่ยมชมเป็นต้องหลงเสน่ห์ในความเรียบง่ายและความงดงามเฉพาะตัวของสมุทรสงครามอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
วิถีชีวิตที่ดำเนินไปเคียงลำน้ำแม่กลองแห่งนี้ยังคงเป็นดังเรือที่โลดแล่นบนท้องน้ำ แม้จะถูกสายน้ำแห่งกาลเวลาพัดพาไปไกลสักเพียงใด หากแต่ความสมดุลที่พอดี ความมีเอกลักษณ์และเสน่ห์อันโดดเด่น จะทำให้เรือลำนี้ยังคงสามารถเดินทางต่อไปอย่างภาคภูมิใจในความเป็นตัวของตัวเอง
Comments